5 #ข้อในการเลือกคบคนจากประสบการณ์ 40 ปี
.
1. #ออกห่างจากคนที่เห็นแก่ประโยชน์ของตนเป็นใหญ่
.
ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหากใครคิดเรื่องผลประโยชน์ของตนเองก่อน
เพราะพื้นฐานคนเราย่อมไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายเสีย
และส่วนใหญ่ต้องการรักษาผลประโยชน์ของตนเองอยู่แล้ว
.
แต่ถ้าการรักษาผลประโยชน์ของตนนั้น ไปทำให้คนอื่นเสียผลประโยชน์ เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม
เพราะมันจะกลายเป็นการเห็นแก่ตัว และทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนแทน เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
.
จะดีกว่าไหม ถ้าเราลดผลประโยชน์ที่ควรได้ลดลงมาสักหน่อย แล้วแบ่งปันให้คนอื่นเค้าดีขึ้นหรือไม่เดือดร้อน
ทั้งสองฝ่ายก็จะได้มีความสุข ความสบายใจ ร่วมกัน อยู่กันอย่างสงบสุข ไม่เบียดเบียนทำร้ายกัน
.
และยิ่งหากมีโอกาส เราแบ่งปันน้ำใจช่วยเหลือเค้าบ้างตามแต่โอกาสที่มี ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
ไม่ใช่รอแต่จะเป็นฝ่ายรับ เอาแต่ได้ อยุ่ฝ่ายเดียว โดยอ้างว่า เค้ามีมากกว่า หรือ คิดว่าเค้าไม่ต้องการ
.
น้ำใจเป็นสิ่งที่สามารถทำได้เลย ไม่ต้องรอการร้องขอก็ได้ เราสามารถช่วยเหลือแบ่งปันน้ำใจให้ใครก็ได้เท่าที่เรามี
อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ เป็นการแสดงน้ำใจต่อคนอื่น ยิ่งหากเค้าเคยช่วยเหลือแบ่งปันเราด้วยแล้ว
เราควรหาโอกาสช่วยเหลือเค้าแม้ว่าจะดูเป็นเรื่องๆ เล็กๆ ก็ตามดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
.
เราคงไม่อยากคบหาคนที่รอแต่รับ ไม่รู้จักให้คนอื่นบ้าง จริงไหม
ใครที่เอาแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่คิดช่วยเหลือหรือแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง เราก็คงไม่อยากอยู่ใกล้ จริงไหม
.
ดังนั้นเราอย่าเป็นคนแบบที่เราไม่ชอบจะดีกว่าไหม
.
หากทำได้แบบนี้ เราจะเป็นคนที่น่าคบหา เหมือนกับที่เราเองก็ต้องการคบหาคนแบบนี้เช่นกัน
.
2. คน Toxic #อย่าอยู่ใกล้
.
คนไหนที่เวลาพบเจอหรือพูดคุย มีแต่ปัญหา ชีวิตดูวุ่นวายตลอด บ่นนู่น ด่านี่ ติไปทั่ว ว่าทุกอย่างรอบตัว ยกเว้นตนเอง
คนแบบนี้ Toxic เป็นคนนี้ Toxic หรือ เป็นมลพิษกับชีวิตคนใกล้ชิด เราควรออกห่าง หรือ หากเลี่ยงไม่ได้ ควรคบผิวเผิน
.
เพราะคนแบบนี้มีแต่จะหาเรื่องไร้ประโยชน์ ไร้สาระ และปวดหัวมาให้ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีหรือพัฒนาอะไรขึ้นเลย
อาจจะพาเราไปทำเรื่องแย่ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะเราอยู่ใกล้คนแบบไหน ใช้เวลากับคนแบบไหน
เราอาจจะกลายเป็นคนแบบนั้นไม่รู้ตัว และทำอย่างเดียวกัน หรือ คล้ายกันกับคนใกล้ตัวโดยไม่รู้ตัว
.
คนพวกนี้บางครั้งเค้าจะเลือกผลประโยชน์ของเค้า จนแทงข้างหลัง ทรยศเราได้ไม่ยาก จะทำให้เราเจ็บหนัก และผิดหวังได้รุนแรง เพราะบาดแผลจากคนใกล้ชิด อย่าให้ถึงตอนนั้น ควรถอยห่างออกมาก่อนจะดีกว่า
.
ดังนั้น หากเราอยุ่ใกล้คน Toxic หรือใช้ชีวิตกับคนแบบนั้นมากๆ สุดท้าย เราก็จะไม่ต่างอะไรกับเขา
คนประเภทเดียวกัน จะจับกลุ่มรวมตัวกัน อยุ่กับคน Toxic ก็จะเจอสังคม Toxic อยู่กับสังคมที่ดี ชีวิตก็จะดีเช่นกัน
.
3. #ถ้าอยู่ด้วยแล้วอึดอัดที่ตรงนั้นอาจจะไม่ใช่ที่ของเรา
.
สังคมมีหลากหลายมากๆ ทุกวัยตั้งแต่เด็กจนโต คนมีหลายประเภท ไม่ใช่แค่แบ่งแยกดีไม่ดี
เช่น บางกลุ่มใช้ชวิตเรียบง่ายสบายๆ บางกลุ่มใช้ชีวิตหรูหรา บางกลุ่มใช้ชีวิตเพื่อบางสิ่งที่เค้าชื่นชอบ
หากกลุ่มไหนมีแนวทางแบบที่เป็นเรา เราเข้าไปอยุ่แล้วก็จะสนุก สุข สบายใจ
หากกลุ่มไหนไม่ใช่ทางเรา กลุ่มนั้นไมได้ผิดอะไร แค่เราไม่ได้เหมาะกับกลุ่มแบบนั้น
.
ดังนั้นการเลือกที่จะกลุ่มไหน ไม่ใช่แค่ว่ากลุ่มนั้น ดี หรือ ไม่ดี ไม่ใช่ ขาว หรือ ดำ
แต่อยู่ที่ว่ากลุ่มนั้นๆ สังคมๆ มีการใช้ชีวิตแบบที่เราอยุ่แล้วมีความสุขไหม
ถ้ากลุ่มนั้นใช่ เราจะเป็นตัวของเราเองได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องพยายาม ก็อยุ่ได้แบบสบายๆ
แต่ถ้ากลุ่มนั้นไม่ใช่ เรารู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ ต้องฝืน ต้องใส่หน้ากาก กลุ่มนั้นคงไม่เหมาะกับเรา ออกมาเถอะ
.
ดังนั้น การเลือกกลุ่มหรือสังคม ไม่ใช่แค่เลือกให้ดี อยุ่แล้วพัฒนาชีวิตไปในทางที่ดี แต่ต้องมีความสุข ไม่ต้องฝืนด้วย
.
4. #ดูที่การกระทำมากกว่าคำพูด
.
การดูคนที่ง่ายที่สุด วิธีหนึ่ง คือ ดูที่การกระทำ หรือ การรักษาคำพูด
คนบางคน พูดเก่งมาก พูดดีมาก พูดจนคนคล้อยตาม พูดจนหลงคารม แต่ก็ดีแต่พูดไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
คนบางคน พูดไม่เก่ง พูดน้อย ถามคำตอบคำ พูดสั้นจนไม่รู้คิดอะไร แต่เน้นลงมือทำให้เห็นผลงานเด่นชัด
คนบางคน พูดไปก่อน พูดได้ทุกเรื่อง สัญญาปากเปล่าไปเรื่อย แต่ไม่ลงมือทำตามนั้น ไม่รักษาสัจจะสัญญา
คนบางคน ทั้งพูดเก่ง และทำงานดี ก็มีให้เห็นบ้าง สิ่งที่ทำให้คำพูดและการกระทำเด่นชัด คือ ผลงานและสัจจะ
.
ดังนั้น ไม่ว่าทางใด การกระทำ หรือ ผลงานจากการลงมือทำ จะเป็นตัวบ่งบอกที่เห็นได้ง่ายที่สุด ว่าคนๆ นั้นเป็นอย่างไร
เพราะการกระทำ คือ รูปธรรมที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจน ต่างจากคำพูด ที่เป็นนามธรรม ที่เป็นรูปธรรมเปลี่ยนไปได้ง่าย
.
เราจะเห็นในสังคมได้มากมาย หลายคนเวลาหนึ่งพูดอย่าง อีกเวลาหนึ่งพูดอีกอย่าง ต่างขั้วได้เลย
แล้วก็จะหาเหตุผลมากมาย มาสนับสนุนคำพูดที่กลับกลอกเหล่านั้น เพื่อเข้าข้างตนเอง จนบางครั้งเห็นแก่ตัว
.
ใครจะพูดอย่างไร ไม่สำคัญเท่าการกระทำที่เค้าทำ และสิ่งที่เค้าทำให้เห็นออกมา
เช่น ปากบอกว่ารัก แล้วได้แสดงออกว่ารัก หรือ เสียสละเพื่อความรักบ้างไหม
ปากบอกว่าตั้งใจ แต่ได้มุ่งมั่นทำมันจริงจังแล้วหรือยัง หรือพอลำบากเข้าหน่อยก็ถอยหนี
ปากบอกว่าพยายามแล้ว แต่ลงมือทำแค่ไม่นาน พอเจอปัญหาก็บอกว่าไม่ไหวแล้ว
.
ดังนั้น จะคบหาใคร ให้มองที่การกระทำของคนๆ นั้นจะดีที่สุด ดีมากกว่าฟังคมพูดลมปาก
.
5. #แนะนำ #ตักเตือน #สนุบสนุน #ไปในทางที่ดีมีประโยชน์
.
เพื่อนที่ดี คนที่น่าคบหา หรือว่าคนที่เราจะรู้จัก ควรเป็นคนที่พากันไปในทางที่ดีที่ถูกต้อง เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
จะเป็นการแนะนำสิ่งดีดีให้แก่กันก็ได้ เพื่อให้มีชีวิต มีรายได้ มีความเป็นอยุ่ อะไรก็ได้ ที่ทำให้เราดีขึ้น
จะเป็นการตักเตือนกันก็ดี เพื่อนที่ดีควรที่จะกล้าตักเตือนกัน หากอีกฝ่ายเริ่มจะทำหรือกำลังทำสิ่งไม่ดี เพื่อให้ได้สติ
.
เราไม่ได้มองกันที่ผลประโยชน์ที่เราจะได้รับ หรือ เค้าจะได้ไป
แต่เรามองที่ใช้ชีวิตร่วมกัน แล้วเกิดสิ่งดีดีเกิดขึ้น มีความสุขร่วมกัน โดยไม่มีใครถูกเอาเปรียบ
.
การคบหากัน ควรเป็นตัวบวก ให้ชีวิตดีขึ้น หรือ เป็นตัวคูณให้ เกิดการต่อยอดพัฒนา หรือคงคุณค่าสิ่งดีดีเอาไว้
แต่หากคบหาใคร แล้วการเป็นตัวหาร ทำให้ชีวิตยากขึ้น แต่แย่งลง มีแต่หาปัญหามาให้กัน และไม่ช่วยเหลือกัน ถอยดีกว่า
.
ไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจ หรือทำงานด้วยกันก็ได้
ไม่จำเป็นต้องเจอกันบ่อย หรือกินเที่ยวกันประจำ
.
หากแต่เมื่อเจอกันช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีมีคุณภาพ
ไม่ว่าจะห่างกันไปนาน ไม่เจอกันนานแค่ไหน เมื่อเจอกัน ก็ดึงความสัมพันธ์กลับมาจูนติดกันได้เสมอ
.
เพื่อนที่คอยช่วยเหลือกันและกัน แม้ว่าจะไม่ต้องบอกกล่าว หรือให้สิ่งของ แค่คำพูดกำลังใจที่ดีก็มีให้กันได้
.
ทั้ง 5 ข้อนี้ #เป็นวิธีที่จะเลือกเพื่อนที่ดีมีคุณภาพ ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะก็ได้ เน้นคุณภาพดีกว่า
ตอนเด็กๆ เป็นการเรียนรู้ เราจะมีเพื่อนมากมาย หลากหลายสไตล์ หลากหลายกลุ่ม
แต่เมื่อโตขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น เราจะเรียนรู้ว่า
.
สุดท้าย #เราจะมีเพื่อนไม่มาก แต่เป็นเพื่อนที่ดี มีคุณภาพ พร้อมช่วยเหลือกัน สนับสนุนกัน ระวังหลังให้กัน และพากันไปในทางที่ดีที่เจริญ