รูปแบบแนวโน้มสินค้า และ สภาวะอารมณ์ของนักลงทุน

#รูปแบบแนวโน้มสินค้าสภาวะอารมณ์ของนักลงทุนในแต่ละช่วง
#บทความนี้จะทำให้คุณเข้าใจรูปแบบของตลาดทุนมากขึ้นครับ

วันนี้ผมจะมาพูดถึงแก่นของตลาดทุนในแง่มุมหนึ่งตามมุมมองและประสบการณ์ของผมที่ศึกษาอยู่ในตลาดมามากกว่า 10 ปี

ทำให้ผมเห็นรูปแบบกลไกของตลาดทุนที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันจนเกิดเป็นสภาวะรูปแบบ ทำให้เราเข้าใจตลาดหรือสภาวะของสินค้าต่าง ๆ หรือ หุ้นรายตัวได้มากขึ้น

คนที่ไม่รู้จักกราฟเทคนิคอล ไม่ต้องดูกราฟก็ได้ แต่ต้องมีสติและดูสภาวะรอบตัวอย่างเป็นกลางไม่ใช่เอนเอียงเพราะสิ่งใดโดยเด็ด มองแบบไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ตลาดทุนมีตัวแปรที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้อง คือ
หุ้นหรือสินค้านั้น ๆ เงินทุน อารมณ์ จิตวิทยาการลงทุน ข่าวสาร และผลตอบแทน
ซึ่งผมทำสรุปมาเป็นภาพประกอบให้คุณได้เข้าใจง่าย ๆ
พร้อมทั้งอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในโพสต์ แบ่งเป็น 6 ระยะ ดังนี้

1. ระยะสะสมสินค้า

เป็นช่วงเวลาที่ราคาต่ำของรอบนั้น ข่าวสาร บทวิเคราะห์ หรือ ทางกราฟมองออกยากว่าจะดีจริงไหม และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะขึ้นหรือลง อาจจะใช้ระยะเวลานานมากหรือไม่นานมากก็ได้ เป็นช่วงที่คนทั่วไปไม่สนใจ เพราะไม่มีอะไรดึงดูดให้เข้าไปซื้อหรือลงทุน ใครอยากเล่นช่วงนี้ทำการบ้านหนักหน่อย แต่ถ้าเจอจะได้ทุนต่ำกว่าใครๆ

2. ระยะเห็นภาพได้ง่าย

เป็นช่วงที่เริ่มเห็นแนวโน้มชัดเจนมากขึ้น ข่าวสาร บทวิเคราะห์จะเริ่มออกมา เริ่มมีคนพูดถึงกล่าวถึงบ้าง ใครเอาไปคิดไปทำต่อก็จะเริ่มเห็นโอกาสเห็นภาพแนวโน้มว่าจะไปต่อได้ง่ายขึ้น จึงเริ่มมีคนเข้าไปลงทุนมากขึ้น แต่ยังไม่เป็นกระแสฮือฮา เพราะว่าไม่ได้คนบางกลุ่มยังไม่เชื่อ

ยกตัวอย่าง ตอนตลาดหุ้น 1200-1500 , ทองคำ 25000-28000 , คริปโต BTC 30000-40000

3. ระยะข่าวดีข่าวสารเชิญชวนมากมาย ใครไม่มีเดี๋ยวเพื่อนล้อ

เป็นช่วงทีสินค้านั้นติดกระแส บทวิเคราะห์ ข่าวสาร โฆษณาเชิญชวนออกมามากมาย คนเริ่มเข้ามาลงทุนมากขึ้นเพราะเริ่มเชื่อว่ามันดี มันมีแนวโน้มที่จะไปต่อ มีโอกาสหาผลตอบแทนหรือกำไรได้ง่าย และคนกลุ่มใหญ่เริ่มสนใจอยากมีส่วนร่วมทำให้เกิดการพูดถึงจนเชื่อว่าจะเป็นดั่งคำโฆษณา

ยกตัวอย่าง ตอนตลาดหุ้นขาขึ้นจาก 1500 มา 1600 , ทองคำ ตอน 28000 มา 30000 , คริปโต ตอน BTC 40000 มา 50000 เป็นต้น

4. ระยะข่าวดีโหมใส่ ไม่อยากได้ยินก็ได้ยิน

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ข่าวสารเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น ๆ หรือ สินค้านั้น ๆ เป็นที่พูดถึงในวงกว้าง มีคำโฆษณา บทวิเคราะห์ ข่าวสารให้เสพมากมาย คนมากมายให้ความสนใจมาวิเคราะห์ มาวางเป้าหมาย มาให้อนาคตต่อไปกันจำนวนมาก เมื่อเกิดการพูดถึงมาก ๆ ข่าวสารกรอกหูเยอะ ๆ คนหลายคนก็จะเริ่มเกิดความเชื่อ หรืออยากเข้าไปมีส่วนร่วมกับสินค้านั้นไม่มากก็น้อย

ภาวะเก็งกำไรยิ่งรุนแรง อยากเข้าไปขอมีส่วนร่วม หวังเก็งกำไรระยะสั้นมากขึ้น เพราะคิดว่าลงยาก ไปต่อแน่ เข้าไปยังไงก็กำไรมากน้อยแค่นั้น ราคาก็จะยังคงขึ้นไปได้เรื่อย ๆ

แต่ถึงจุดหนึ่งเริ่มไม่ไปต่อ คนที่รอเริ่มไม่ไหว เพราะบางคนเอาเงินร้อน เอาเงินที่จำเป็นต้องใช้เรื่องอื่น แล้วถึงกำหนดเวลาเอาออกไปคืนมาเล่น ทำให้สภาพคล่องเริ่มแย่ ต้องยอมขายออกมา

พอมีคนเริ่มขาย จากหวังกำไรก็เริ่มขอทุนคืน คนอื่น ๆ เริ่มเห็นขายที่ทุนยังไม่มีคนซื้อ ก็เริ่มขายลดราคามากขึ้น และก็เกิดกระแสแพนิคขายเพราะหวาดกลัว รีบขายหวังเอาเงินต้นเท่าไหร่ก็ได้ออกมาก่อน บางคนก็ไม่กล้าขายขาดทุน แต่ก็โดนบังคับขายเพราะขาดทุนมากกว่าที่กำหนดไว้ สุดท้ายเกิดแรงขายแพนิคกับหนัก แล้วราคาก็เริ่มร่วงลง

ยกตัวอย่าง ตอนตลาดหุ้น 1650-1700 แกว่งไม่ไปไหน , ทองคำตอน 31000-32000 ไปต่อไม่ได้ , คริปโต BTC 50000-60000 ข่าวดีมากมายแต่ไม่ไปต่อ

5. ระยะยังมั่นใจ แค่ย่อมาเดี๋ยวไปต่อ

ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเลยก็ว่าได้ เพราะคนที่ยอมแพ้ก่อนหน้าหรือโดนบังคับให้ขายก็เริ่มเฝ้ามองหาโอกาสเอาคืนก็เริ่มจับจ้อง คนที่ติดดอยเริ่มคิดว่าถัวเพิ่มดีไหมเผื่อกลับมาจะได้รอดหรือกำไรมากขึ้น คนที่ไม่เคยเข้าไปแจมเพราะชอบต่อราคาหรือรอราคาต่ำพอรับได้ก็เริ่มเห็นว่าราคามันลงมาเยอะถูกมากกว่าแต่ก่อน มันย่อมาพักตัวเดี๋ยวน่าจะไปต่อ ราคาลงมาเยอะแล้วตอนนี้เริ่มเป็นช่วงที่หลายคนเริ่มกลับเข้าไปซื้อ เพราะยังคงเชื่อคำโฆษณา หรือ มองว่าที่ตนเองวิเคราะห์มา ยังมีโอกาสเป็นไปได้ ยังคงมั่นใจในความเชื่อและความรู้สึกของตน จึงเริ่มมีแรงเข้าไปรับไปช้อน เพราะจากที่ราคาเคยขึ้นไปไกลพร้อมข่าวดีมากมาย คิดว่าเป็นไปไมได้ ที่ราคาจะลงไปมากมายกว่านี้อีก จึงพร้อมที่จะเข้าไปซื้อ เพื่อหวังขายที่ไฮเดิม หรือ สูงกว่านั้น

ยกตัวอย่าง ตอนตลาดหุ้น 1620-1650 ลงมาแนวรับเก่า , ทองคำตอน 30000-31000 กลับมาที่ก่อนข่าวมา , คริปโต BTC 40000-50000 ตอนที่กระแสเริ่มฮือฮา ก่อนหน้านี้

6. ระยะกว่าจะเข้าใจรู้งี้

ช่วงนี้เป็นช่วงที่เจ็บปวดของนักลงทุน เพราะเป็นช่วงที่เห็นภาพของหุ้น หรือ สินค้านั้นชัดเจนแล้ว จากที่ราคาลดต่ำลงมาหลุดแนวรับเก่า หรือ ราคาที่เรารับได้ แต่ก็ยังจะหลุดร่วงไปต่อ ทำให้เรารับความเสี่ยงไม่ไหว สุดท้ายต้องตัดใจยอมโยนขายขาดทุนแบบทำใจ หรือ หลายท่านโดนบังคับขายเพราะขายทุนมากกว่าเกินลิมิตที่มีเอาไว้ และอีกเหตุผลมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงนี้

ลองนึกตลาดช่วงเวลานี้ก็ได้ครับ 9/5/65 ถึง 13/5/65 ที่ทั้งตลาดหุ้น ทองคำ และตลาดคริปโตร่วงลงมาแรง พร้อมใจกันร่วงลงมาทั้ง 3 สินค้า ทำให้คนที่เข้าไปก่อนหน้า หรือ ไปช้อนรับเอาไว้ขาดทุนกันมากมาย ราคาที่เคยคิดว่าเป็นแนวรับสำคัญก็หลุดได้ง่ายแบบไม่เข้าใจ ข่าวสารก็ตามมาทำให้เราเสียขวัญมากขึ้น ข่าวร้าย ๆ เต็มตลาดกลบข่าวดีที่เคยมีก่อนหน้าหายไปหมด

ยกตัวอย่าง มองสภาวะในสัปดาห์นี้ 9/5/65 ถึง 13/5/65 ก็ได้ครับ ตลาดหุ้น 1580-1600 ที่หุ้นหลายตัวหลุดแนวรับลงมา , ทองคำยังคงทำนิวโลวต่ำลงมาเรื่อย ๆ , คริปโตที่เทแรงหลุดแนวที่เคยมั่นใจ หลายสินค้าเทลงไปจนใจหาย และบางตัวในสินค้านั้นจะอ่อนแอจนหมดค่าได้เช่นกัน

ไม่ใช่ว่าพอถึงระยะที่ 6 แล้วจะกลับตัวทันที อาจจะซึมลงไปต่อก็ได้ อาจจะร่วงต่อก็ได้ อาจจะพักตัวแล้วเด้งก็ได้ อาจจะเด้งไปแล้วร่วงลงมาใหม่ก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น

ทั้งหมดนี้ คือ #รูปแบบที่เกิดขึ้นประจำในตลาดหุ้น เป็นสิ่งที่คุณต้องสะสมประสบการณ์และเรียนรู้ ดูอย่างเป็นกลาง

ไม่ใช้กราฟ ไม่รู้จักกราฟ ก็ต้องมองเหตุการณ์รอบตัวเกี่ยวกับสินค้านั้นให้ถูกต้องชัดเจนไม่เอาอารมณ์ ความรู้สึก ส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง

แต่ถ้าคุณรู้จักกราฟเทคนิคคอล และระบบเทรด Bird Theory ทุกอย่างจะชัดเจนอยู่ในกราฟระบบเทรดครับ

ดังนั้น ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อลงทุนสินค้าอะไร
ลองหยุดคิดดูสักนิดว่า สินค้านั้นอยู่ในระยะไหน
แล้วการลงทุนของคุณจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ

#อย่าเชื่อผมจงเชื่อกราฟ
#รักนะสแกนหุ้น