Mindset การใช้ชีวิต ฉบับ อาจารย์ เบิร์ด สแกนหุ้น

9 ข้อ Mindset การใช้ชีวิต ฉบับ อาจารย์ เบิร์ด สแกนหุ้น
.
จาก Live ครั้งก่อน อาจารย์เบิร์ดได้มีการพูดถึงเรื่อง Mindset ในการลงทุนไปแล้ว ทำให้มีหลายๆท่าน เรียกร้องให้มา Live อีกครั้ง ซึ่ง ดร.กุลภัทร กมล (ภรรยาอาจารย์เบิร์ด) เจ้าของเพจ ดร.นกยูง : Kunlapat Kamol ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายท่านอยู่แล้วเช่นกัน เห็นควรว่า ควรเรียนเชิญอาจารย์เบิร์ด มาไลฟ์อีกครั้ง เพื่อถ่ายทอด Mindset การใช้ชีวิต และเป็นแรงบันดาลใจ แรงผลักดันการใช้ชีวิตแก่ทุกท่าน
.
ดร.นกยูง กล่าวว่า “อาจารย์เบิร์ด เป็นผู้ที่มี Mindset มากมายที่มอบให้แก่ทุกท่าน ทั้งคู่ชีวิต ลูกศิษย์ ทำให้ผู้คนรอบกาย มีวินัย และ ความคิดที่ดีมากขึ้น” ซึ่งในหลายๆครั้งที่หากใครต้องการฮีลใจ ท้อแท้ โดดเดี่ยว อาจารย์เบิร์ดจะทำให้รู้สึกว่า “เราไม่ได้อยู่คนเดียว” ทำให้เรามีพลัง และ กำลังใจขึ้นมากอีกครั้ง
.
ซึ่งวันนี้ แอดมินขออนุญาตสรุปข้อคิดดีๆจากไลฟ์ Mindset การใช้ชีวิต ฉบับ อาจารย์ เบิร์ด สแกนหุ้น มาให้ทุกท่านได้อ่าน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจค่ะ
.
1. ทำไมการโฟกัสเวลา จึงสำคัญ…
ส่วนหนึ่งที่ทำให้เราใช้ชีวิตได้ดี และ ประสบความสำเร็จ คือ การบริหารจัดการ
ซึ่งการบริหารจัดการที่ทุกคนมีเท่ากัน คือ เวลา
หลายครั้งที่เราเคยรู้สึกว่า รู้งี้ทำสิ่งนั้นดีกว่า… รู้งี้ทำแบบนั้นดีกว่า…
พอกลับมามองย้อนดูแล้ว ทำให้รู้ว่า การที่เรามีความคิดแบบนั้น เรากำลังมีความผิดพลาดในการบริหารเวลาอย่างมาก จึงทำให้แผนการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป
 
 
เริ่มลองบริหารเวลาให้เป็นขั้นตอนมากขึ้นในแต่ละวันตั้งแต่ตื่นนอน ว่ามีสิ่งใดที่สำคัญ และ ควรทำ ซึ่งในแผนอาจจะมีทั้ง “เวลาที่เรารู้” และ “เวลาที่เราไม่รู้”
เป็นสิ่งที่จะเข้ามาในแต่ละวันที่เราต้องจัดการ
.
ผลจากการจัดการเวลาได้ คือ ชีวิตลงตัวมากขึ้น ต่างจากเดิมที่เคยรู้สึกว่า ทำไมมีอะไรให้ทำมากมาย จึงทำให้ทำไม่ครบ ไม่ประสบความสำเร็จ
.
สังเกต หากเราไม่มีแผน “คนเรามักจะเลือกสิ่งที่อยากทำ มากกว่า สิ่งที่ควรทำ”
และ ความรู้สึกที่ว่า หากมีแผน แต่รู้สึกเหนื่อย อยากพักไว้ก่อน ให้ถามตนเองว่า สิ่งนี้..หากเราไม่ทำ จะเกิดผลกระทบอะไรหรือไม่ หากทำแล้วจะได้อะไร และ หากไม่ทำ จะเกิดอะไรขึ้น และ หากไม่ทำ จะไม่เสียใจภายหลัง
.
2. อะไรที่ไม่ใช่ “ตัดทิ้ง” ได้เลย
บางครั้งที่เรารู้สึกจมอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่าสิ่งนั้น ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย เช่น อยู่ในสังคมที่ไม่ใช่ตัวเอง มีแต่สิ่งที่ทำให้บั่นทอน ไม่ได้ทำให้ตัวเองพัฒนาการสิ่งใดต่อ
ซึ่ง Mindset ที่เราสามารถเปลี่ยนได้ คือ หากตอนไหนที่เรารู้สึกว่าบั่นทอนและไม่ได้อะไรจากส่วนนั้นเลย ตัดทิ้ง รวมถึงเรื่องราวในอดีตที่อาจจะเคยทำอะไรผิดพลาดไปที่ทำให้รู้สึกว่า รู้แบบนี้ไม่น่าทำสิ่งนั้นเลย ซึ่งส่วนนี้ก็ควรทิ้ง ปล่อยวางความคิดนี้ออกได้เลยเช่นกัน เพราะ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้และสิ่งที่เราสามารถทำได้ และ ควรทำหลังจากนี้คือ เลือกสิ่งที่เราควรทำให้ดีที่สุด ไม่จมอยู่กับอดีต ฉะนั้น “คนรอบตัว..จึงสำคัญ” เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง คนรอบตัวดี ชีวิตดีๆต่างๆจะตามมา
.
3. การใช้ชีวิตในทุกความสัมพันธ์
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน หรือ การเลือกคบคนก็ตาม เราควรมีเป้าหมายในทุกครั้ง อย่างแรก ตั้งเป้าหมาย หากเป็นเรื่องงาน เพื่อให้เรารู้ว่าเราทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร และ สิ่งที่ทำอยู่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้หรือไม่ เรามีอนาคต เงินเก็บจากตรงนี้หรือไม่
.
หรือ เป็นเรื่องการคบเพื่อน เป้าหมายของเราคือ เราอยากเป็นเพื่อนที่ดีกับบุคคลนี้ และ ในระหว่างการคบหากัน มีสิ่งไหนที่ทำให้ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายตรงนั้นได้หรือไม่ เป็นบุคคลที่ไม่มีแผนในชีวิต ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่สามารถปรับได้อีกแล้วหรือไม่ สุดท้ายแล้วหากสิ่งนั้นไม่ใช่เป้าหมาย ออกมาจากตรงนั้นได้ทันที
.
4. ทำ เพื่อตัวเอง หรือ เพื่อใคร ?
หากใครที่รู้สึกว่ายังสับสน กับสิ่งที่เรากำลังพยายามอยู่ ถ้าเลือกที่จะทำเพื่อครอบครัวอย่างเดียว ชีวิตก็ไม่ก้าวหน้า ซึ่งความคิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่หาก Mindset ของเป้าหมายการใช้ชีวิต ที่เราสามารถเปลี่ยนความคิดได้ใหม่ คือ “ ถ้าเราเอาตัวเองรอดได้ เราจะทำเพื่อครอบครัวได้” ฉะนั้น ตั้งใจ ทำตัวเองให้ดี ให้เติบโต เลี้ยงดูตนเองได้ และ นำครอบครัว คนรัก มาเป็นแรงผลักดัน ว่าเราต้องทำมากกว่านี้ โฟกัส สิ่งที่สำคัญ วางเป้าหมาย สร้างแรงผลักดัน ให้เราสามารถไปถึงเป้าหมายได้พร้อมกับดูแลครอบครัวแบบเติบโตไปด้วยกัน ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
.
5. เป้าหมายที่ชัด ควรมาพร้อมกับการ “โฟกัส”
ข้อดีของผู้ที่เรียนรู้ช้า คือ การโฟกัสสิ่งต่างๆ ที่มากกว่าคนอื่น ซึ่งสิ่งนี้มาพร้อมกับการ ตั้งเป้าหมาย เมื่อเรามีการตั้งเป้าหมายแล้ว เราจะโฟกัสในสิ่งนั้นได้มากแค่ไหน เช่น เป้าหมายแรกตั้งแต่เด็ก และ สิ่งที่อาจารย์เบิร์ดโฟกัส คือ การเกษียณตอนอายุ 40 แต่มิใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเลยหลังจากนี้ แต่คือ การมีเงินทุนซัพพอร์ตตัวเอง และ ครอบครัวแบบไม่ลำบาก ซึ่งระหว่างทางเราจะต้องคิดเสมอว่า สิ่งที่เราทำตอนนั้นจะทำให้เราถึงเป้าหมายหรือไม่ หากไม่ใช่ ก็วางแผนใหม่และเปลี่ยนเส้นทางนั่นเอง
.
6. ลงมือทำด้วยตัวเองให้มากที่สุด
การหาตัวเอง สิ่งแรก ลองย้อนกลับไปมองว่า ที่ผ่านมาเราเคยหาเงินได้จากอะไรบ้าง และ ลงมือทำทันที ทำแล้ว พัฒนาตัวเอง เจอสิ่งที่ใช่ จดบันทึกเอาไว้ แต่หากลองทำหลายอย่างแล้วยังไม่เจอสิ่งที่ใช่ ลองตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าเพราะอะไรถึงยังทำไม่สำเร็จ ปรึกษาผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว และ นำสิ่งนั้นไปพัฒนาต่อไป
.
7. วิธีฮีลใจ เมื่อหมดไฟในชีวิต
ก่อนเราจะผ่านมาได้จนถึงทุกวันนี้ แน่นอน ปัญหาที่เราพบเจอปัจจุบันไม่ใช่ปัญหาแรกในชีวิต มันเป็นเพียงอีกหนึ่งปัญหาที่พบเจอซึ่งทุกคนสามารถเจอได้ เปลี่ยนปัญหานั้นให้เล็กลง และคิดต่อว่า สิ่งที่ทำอยู่ เรากำลังทำเพื่อใครอยู่หรือไม่
เช่น เราทำเพื่อครอบครัวเราให้ไปต่อได้ เราจะมีไฟมากขึ้น พยายามคิดให้ทุกอย่างเป็นเรื่อง บวก “ปัญหา เป็นเพียงขั้นบรรไดให้เราได้เหยียบ เพื่อที่จะเติบโตขึ้น” ถ้าเราผ่านไปได้ เราจะเติบโต มองปัญหา เป็นสิ่งท้าทาย เพื่อพิสูจน์ให้ถึงเป้าหมาย เหนื่อย แค่พัก เมื่อหายเหนื่อยแล้วตื่นมาสู้ เพื่อตัวเอง เพื่อคนที่รัก
.
8. การก้าวผ่านกำแพงทางจิตใจ
ยิ่งเราเครียดมากเท่าไหร่ จะเกิดความกดดันในตัวเองมากเท่านั้น หากยังไม่ถึงเป้าหมาย ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความสามารถ ทำใจให้นิ่ง วางแผนหาสาเหตุว่าทำอย่างไรถึงจะผ่านจุดนั้นไปได้ หาจุดที่เรารับความเสี่ยงมากที่สุด ศึกษาสิ่งนั้นให้ได้มากที่สุดซ้ำๆ ช่วงแรกอาจจะใช้เวลานาน แต่เราจะก้าวผ่านไปได้
.
9. พยายามทำหลายอย่าง แต่ไม่สำเร็จ ไปต่อ หรือ พอแค่นี้…
ทุกคนล้วนมีความคาดหวัง สิ่งที่เราทำอาจจะไม่สามารถดี 100% ได้ทุกอย่าง เผื่อใจเสมอ ยอมรับ กับ สิ่งที่เกิดขึ้น เช่น ตั้งเป้าว่าอยากได้เงินหลักแสนแต่ไปไม่ถึงเป้าหมายนั่นเอง
2 ส่วนที่เรามีตอนนี้ คือ สิ่งที่คอนโทรลได้ กับสิ่งที่ ไม่สามารถคอนโทรลได้ สำหรับสิ่งที่คอนโทรลได้ เราทำให้ดีทีสุดก่อน อีกส่วน ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราพยายามมากที่สุดแล้วใช่หรือไม่ และ หาวิธีกำจัดความเสี่ยง ศึกษาให้มาก ไม่ด้อยค่าตัวเอง ความสำเร็จจะไม่มาหาผู้ที่ใจไม่พร้อม ล้มเหลว เพื่อพัฒนาให้มาก สุดท้ายเราจะพบเจอผลลัพธ์ที่คู่ควรกับเรา
———————————————–
ขอบคุณ ไลฟ์ดีๆจาก  เพจ ” ดร.นกยูง : Kunlapat Kamol “